สงครามกลางเมืองอเมริกา
From Wikipedia, the free encyclopedia
สงครามกลางเมืองอเมริกา (อังกฤษ: American Civil War; 12 เมษายน ค.ศ. 1861 – 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1865) เป็นสงครามกลางเมืองซึ่งเกิดขึ้นในสหรัฐ ระหว่างปีคริสต์ศักราช 1861 ถึง 1865 โดยมีมูลเหตุแห่งการสู้รบมาจากข้อโต้แย้งที่ยืดเยื้อเกี่ยวกับการถือครองทาส ระหว่างฝ่ายชาตินิยมสหภาพซึ่งให้ปฏิญาณว่าจะภักดีต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐฝ่ายหนึ่ง กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนออกเป็นสมาพันธรัฐซึ่งสนับสนุนสิทธิของมลรัฐในการคงไว้ซึ่งสถาบันทาสอีกฝ่ายหนึ่ง.
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
สงครามกลางเมืองอเมริกา | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ตามเข็มนาฬิกา จากรูปบนสุด: ยุทธการที่เกตตีสเบิร์ก, ปืนใหญ่ของร้อยเอก จอห์น ทิดบอลแห่งฝ่ายสหภาพ, เชลยศึกฝ่ายสมาพันธรัฐ, เรือรบหุ้มเกราะยูเอสเอส แอตแลนตา, ซากเมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย, ยุทธการที่แฟรงกลิน | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
สหรัฐ (ฝ่ายสหภาพ) | สมาพันธรัฐ (ฝ่ายสมาพันธรัฐ) | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
อับราฮัม ลินคอล์น X ฯลฯ |
เจฟเฟอร์สัน เดวิส ฯลฯ | ||||||
กำลัง | |||||||
2,200,000 นาย[lower-alpha 2] 698,000 นาย (ณ จุดสูงสุด)[2][3] |
750,000–1,000,000 นาย[lower-alpha 2][4] 360,000 นาย (ณ จุดสูงสุด)[2][5] | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
เสียชีวิตในหน้าที่ 140,414 นาย[6][7]
เสียชีวิตในที่คุมขังของสมาพันธรัฐอเมริกา ราว 25,000 นาย[6] |
เสียชีวิตในหน้าที่ 72,524 นาย[8][6] |
ในบรรดา 34 มลรัฐของสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1861 เจ็ดรัฐทาสทางใต้ของประเทศประกาศแยกตัวออกจากสหรัฐเพื่อตั้งเป็น สมาพันธรัฐอเมริกา (the Confederate States of America) หรือ "ฝ่ายใต้." ฝ่ายสมาพันธรัฐเติบโตจนมีรัฐเข้าร่วม 11 มลรัฐ โดยรัฐบาลสหรัฐไม่เคยให้การรับรองทางการทูตแก่ฝ่ายสมาพันธรัฐ เช่นเดียวกับประเทศอื่นทุกประเทศ (แม้สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสจะให้สถานภาพคู่สงครามแก่สมาพันธรัฐ). ส่วนมลรัฐที่ยังภักดีต่อสหรัฐ เรียกว่า "สหภาพ" (Union) หรือ "ฝ่ายเหนือ" ซึ่งรวมถึงรัฐตามแนวชายแดนที่ยังถือว่าการมีทาสเป็นสิ่งชอบด้วยกฎหมายด้วย.
สงครามเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 เมื่อกองทัพสมาพันธรัฐโจมตีที่ตั้งทหารสหรัฐที่ฟอร์ตซัมเทอร์ในเซาท์แคโรไลนา. ประธานาธิบดีลินคอล์นตอบสนองโดยเรียกระดมพลอาสาสมัครจากแต่ละรัฐ จนเกิดกระแสความเป็นชาตินิยมขึ้นในภาคเหนือขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน. การเปิดฉากสงครามแบ่งแยกดินแดน กระตุ้นให้รัฐติดแนวชายแดนอีกสี่รัฐ ได้แก่ เวอร์จิเนีย เทนเนสซี อาร์คันซอ และนอร์ทแคโรไลนา ประกาศแยกตัวเพิ่ม. ฝ่ายสหภาพควบคุมพื้นที่รัฐชายแดนได้ในช่วงต้นสงครามและเริ่มยุทธวิธีปิดล้อมทางทะเลต่อฝ่ายสมาพันธรัฐ. สงครามที่คาดกันว่าจะยุติลงโดยเร็วกลับส่อเค้ายืดเยื้อ เมื่อทัพของสหภาพเพลี่ยงพล้ำในยุทธการที่บูลรัน และการสู้รบในเขตสงครามตะวันออกเปิดฉากด้วยความได้เปรียบของฝ่ายสมาพันธรัฐ ซึ่งสามารถสกัดกั้นความพยายามของสหภาพในการบุกยึดริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย อันเป็นเมืองหลวงของสมาพันธรัฐได้หลายครั้ง. ความสำเร็จนี้ทำให้ฝ่ายใต้ฮึกเหิม และตัดสินใจบุกขึ้นเหนือในปลายหน้าร้อนปี ค.ศ. 1862. แต่หลังจากการทัพคาบสมุทร (Peninsula Campaign) สิ้นสุดลง ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1862 ฝ่ายสหภาพก็ตั้งตัวติด และสามารถหยุดการรุกคืบของสมาพันธรัฐได้ในยุทธการที่แอนตีแทม (Antietam) ซึ่งทำให้สหราชอาณาจักรเปลี่ยนใจไม่เข้าแทรกแซงในสงครามความขัดแย้งภายในนี้.[10] หลังจากได้ชัยชนะทางยุทธวิธีที่แอนตีแทมไม่กี่วัน ลินคอล์นก็ประกาศเลิกทาส และกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสงคราม.[11]
ในปี ค.ศ. 1863 การบุกขึ้นเหนือครั้งที่สองของนายพลสมาพันธรัฐ โรเบิร์ต อี. ลี ยุติลงด้วยความปราชัย ณ ยุทธการที่เกตตีสเบิร์ก. ส่วนในแนวรบด้านตะวันตกนั้น ฝ่ายสหภาพสามารถเข้าควบคุมแม่น้ำมิสซิสซิปปีได้ หลังยุทธการที่ไชโลห์ (Shiloh) และการล้อมวิคสเบิร์ก (Vicksburg) ซึ่งเป็นผลให้ฝ่ายสมาพันธรัฐถูกแบ่งออกตรงกลางและกองทัพถูกทำลายไปเป็นอันมาก. ด้วยความสำเร็จในเขตสงครามตะวันตก ยูลิสซิส เอส. แกรนท์ จึงได้รับอำนาจบังคับบัญชากองทัพทั้งหมดของฝ่ายสหภาพในปี ค.ศ. 1864. จอมพลแกรนท์เข้าจัดโครงสร้างกองทัพและยุทธวิธีการรบเสียใหม่ เพื่อให้กองทัพของ วิลเลียม เทคุมเซห์ เชอร์แมน, ฟิลิป เชอริแดน, และแม่ทัพคนอื่น ๆ สามารถโจมตีสมาพันธรัฐได้จากทุกทิศทาง นอกจากนี้ยังเพิ่มความเข้มงวดในการปิดล้อมทางทะเล. แกรนท์นำการทัพภาคพื้นดินเพื่อเข้ายึดริชมอนด์ โดยพยายามตรึงทัพของนายพลลีเอาไว้ป้องกันเมืองหลวงของฝ่ายสมาพันธรัฐ แต่แล้วเปลี่ยนทางเดินทัพเพื่อไปปิดล้อมปีเตอร์สเบิร์ก และทำลายกองกำลังสมาพันธรัฐที่เหลือของลีเกือบทั้งหมด. แกรนท์มอบอำนาจให้เชอร์แมนเข้ายึดเมืองแอตแลนตาและเคลื่อนทัพไปสู่ทะเล โดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายสาธารณูปโภคของสมาพันธรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ. การสู้รบที่สำคัญครั้งสุดท้าย คือ การปิดล้อมปีเตอร์สเบิร์ก กองทัพของลีตัดสินใจทิ้งปีเตอร์สเบิร์กในปลายเดือนมีนาคม ค.ศ. 1865 และไม่สามารถฟื้นตัวได้อีก ส่งผลให้นายพลโรเบิร์ต อี. ลี ยอมจำนนต่อจอมพลแกรนท์ ณ อาคารศาลแอพโพแมตท็อกซ์ เมื่อวันที่ 9 เมษายน ค.ศ. 1865. การสิ้นสุดของสงครามนำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 14 ซึ่งรับรองสิทธิของพลเมืองที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคทั่วทั้งสหรัฐ.
สงครามกลางเมืองอเมริกานับเป็นสงครามยุคอุตสาหกรรมที่แท้จริงครั้งแรก ๆ ของโลก โดยมีการใช้ทางรถไฟ โทรเลข เรือกลไฟ และอาวุธซึ่งผลิตขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อส่งเสริมวัตถุวิสัยทางการทหาร. รูปแบบของสงครามเบ็ดเสร็จ ซึ่งนายพลเชอร์แมนพัฒนาขึ้นในรัฐจอร์เจีย และการสงครามสนามเพลาะรอบปีเตอร์สเบิร์ก เป็นยุทธวิธีทางทหารที่เกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในทวีปยุโรป. สงครามครั้งนี้ยังเป็นสงครามที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลให้ทหารเสียชีวิตกว่า 620,000 นาย และพลเรือนเสียชีวิตอีกไม่ทราบจำนวน. นักประวัติศาสตร์ จอห์น ฮัดเดิลสตัน ประเมินยอดผู้เสียชีวิตว่า พลเมืองชายรัฐฝ่ายเหนืออายุระหว่าง 20 - 45 ปีเสียชีวิตไปร้อยละ 10 และพลเมืองชายรัฐฝ่ายใต้อายุระหว่าง 18 - 40 ปีเสียชีวิตไปร้อยละ 30[12] ชัยของฝ่ายเหนือหมายถึงจุดจบของสมาพันธรัฐและการถือครองทาสในสหรัฐ และเสริมอำนาจให้แก่รัฐบาลกลาง แต่ปัญหาทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจและสีผิวอันเนื่องมาจากสงคราม ยังคงมีอิทธิพลอยู่ไปตลอดยุคบูรณะ ซึ่งดำเนินไปจนถึงปี ค.ศ. 1877.