ยอซีป บรอซ ตีโต
รัฐบุรุษยูโกสลาเวีย / From Wikipedia, the free encyclopedia
ยอซีป บรอซ (Serbo-Croatian Cyrillic: Јосип Броз, ออกเสียง: [jǒsip brôːz]; 7 พฤษภาคม 1892 – 4 พฤษภาคม 1980)[nb 1][8] มักเป็นที่รู้จักกันว่า ตีโต (/ˈtiːtoʊ/;[9] Serbo-Croatian Cyrillic: Тито, ออกเสียง: [tîto]) เป็นนักปฏิวัติลัทธิคอมมิวนิสต์และรัฐบุรุษชาวยูโกสลาฟ ทำหน้าที่ในบทบาทต่าง ๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1943 จนถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1980[10] ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเป็นผู้นำพลพรรค มักจะถือว่าเป็นขบวนการต่อต้านที่มีประสิทธิภาพมากในทวีปยูโรปที่ถูกยึดครอง[11] เขายังทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย ตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม ปี ค.ศ. 1953 ถึง วันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 ในขณะที่การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเผด็จการ[12][13] และความกังวลเกี่ยวกับการปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้ถูกหยิบยกขึ้น ตีโตได้รับความเห็นเป็นส่วนใหญ่ว่าเป็นเผด็จการผู้มีความเมตตา (Benevolent Dictator)[14]
จอมพล ยอซีป บรอซ ตีโต | |
---|---|
ประธานาธิบดียูโกสลาเวีย คนที่ 1 | |
ดำรงตำแหน่ง 14 มกราคม 1953 – 4 พฤษภาคม 1980 | |
นายกรัฐมนตรี | เขาเอง (1953–63) Petar Stambolić (1963–67) Mika Špiljak (1967–69) Mitja Ribičič (1969–71) Džemal Bijedić (1971–77) Veselin Đuranović (1977–80) |
ก่อนหน้า | Ivan Ribar (as ประธานสภาสมัชชาสหพันธ์แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสสลาเวีย) |
ถัดไป | Lazar Koliševski as ประธานสภาประธานาธิบดีแห่งยูโกสลาเวีย คนที่ 1) |
นายกรัฐมนตรียูโกสลาเวีย | |
ดำรงตำแหน่ง 2 พฤศจิกายน 1944 – 29 มิถุนายน 1963 | |
กษัตริย์ | สมเด็จพระเจ้าปีเตอร์ที่ 2 (1943–45) |
ประธานาธิบดี | Ivan Ribar (1945–53) เขาเอง (1953–63) |
ก่อนหน้า | Ivan Šubašić |
ถัดไป | Petar Stambolić |
ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เลขาธิการคนที่ 1 | |
ดำรงตำแหน่ง 1 กันยายน 1961 – 5 ตุลาคม 1964 | |
ก่อนหน้า | Position created |
ถัดไป | ญะมาล อับดุนนาศิร |
เลขาธิการสภากลาโหม คนที่ 1 | |
ดำรงตำแหน่ง 7 มีนาคม 1945 – 14 มกราคม 1953 | |
นายกรัฐมนตรี | เขาเอง |
ก่อนหน้า | Position created |
ถัดไป | Ivan Gošnjak |
เลขาธิการสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย คนที่ 4 | |
ดำรงตำแหน่ง มีนาคม 1939 – 4 พฤษภาคม 1980 | |
ก่อนหน้า | Milan Gorkić |
ถัดไป | Branko Mikulić |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | 07 พฤษภาคม ค.ศ. 1892(1892-05-07)[nb 1] Kumrovec, โครเอเชีย-สโลวีเนีย, จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (ปัจจุบัน โครเอเชีย) |
เสียชีวิต | 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1980(1980-05-04) (87 ปี) ลูบลิยานา, สาธารณรัฐสังคมนิยมสโลวีเนีย, สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย |
ที่ไว้ศพ | เบลเกรด, เซอร์เบีย, House of Flowers 44°47′12″N 20°27′06″E |
เชื้อชาติ | เซิร์บ[1] |
ศาสนา | ไม่มี(Atheist)[2][3] (เคยนับถือ โรมันคาทอลิก)[4] |
พรรคการเมือง | สันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย (SKJ) |
คู่อาศัย | Davorjanka Paunović |
คู่สมรส | เพลาจิเกีย บรอซ (1919–1939), div. เฮอร์ตา ฮาส (1940–1943) โจแวนก้า บรอซ (1952–1980) |
บุตร | Zlatica Broz Hinko Broz Žarko Leon Broz Aleksandar Broz |
อาชีพ | จอมพล, นักปฎิวัติ,ผู้บัญชาการ |
รางวัล | อิสริยาภรณ์นานาชาติ 98 รายการ และยูโกสลาเวีย 21 รายการ รวมทั้ง เครื่องอิสริยาภรณ์มหาดาราแห่งยูโกสลาเวีย เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์บาธ เครื่องอิสริยาภรณ์เลนิน เครื่องอิสริยาภรณ์กิตติคุณแห่งสาธารณรัฐอิตาลี (รายการย่อ, ดูรายการทั้งหมดในบทความ) |
Ethnicity | ชาวโครแอต[5][6][7] |
ลายมือชื่อ | |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย |
สังกัด | กองทัพประชาชนยูโกสลาเวีย All (ผู้บัญชาการทหารสูงสุด) |
ประจำการ | 1913–1919 1941–1980 |
ยศ | จอมพล |
บังคับบัญชา | ขบวนการปาร์ติซานชาวเซิร์บ กองทัพประชาชนยูโกสลาเวีย |
สงคราม/การสู้รบ | สงครามโลกครั้งที่ 1 สงครามกลางเมืองรัสเซีย สงครามกลางเมืองสเปน สงครามโลกครั้งที่ 2 |
เขาได้เป็นบุคคลสาธารณรัฐที่ได้รับความนิยมทั้งในยูโกสลาเวียและต่างประเทศ[15] มุมมองที่เป็นสัญลักษณ์รวมกัน,[16] นโยบายภายในประเทศของเขาดำรงไว้ซึ่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของชาติต่าง ๆ ในสหพันธ์ยูโกสลาเวีย เขาได้รับความสนใจจากนานาชาติมากขึ้นในฐานะผู้นำขบวนการไม่ฝักฝ่ายใด เคียงข้างกับ ชวาหะร์ลาล เนห์รูแห่งอินเดีย ญะมาล อับดุนนาศิรแห่งอียิปต์ และกวาเม อึนกรูมาแห่งกานา[17]
บรอซเกิดจากบิดาที่เป็นชาวโครแอตและมารดาที่เป็นชาวสโลวีนในหมู่บ้าน Kumrovec, ออสเตรีย-ฮังการี (ปัจจุบันในโครเอเชีย) ถูกเกณฑ์เป็นทหารในกองทัพ เขามีความโดดเด่นในตัวเขาเอง กลายเป็นจ่าสิบเอกที่มีอายุน้อยที่สุดในกองทัพบกออสเตรีย-ฮังการีในช่วงสมัยนั้น ภายหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกจับกุมโดยทหารจักรวรรดิรัสเซียในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาถูกส่งไปยังค่ายแรงงานในเทือกเขายูรัล เขาได้มีส่วนร่วมในบางเหตุการณ์ของการปฏิวัติรัสเซีย ในปี ค.ศ. 1917 และสงครามกลางเมืองที่ตามมา
เมื่อเขาเดินทางกลับสู่คาบสมุทรบอลข่านในปี ค.ศ. 1918 บรอซได้เข้าสู่ราชอาณาจักรยูโกสลาเวียที่เพิ่งก่อตั้งขึ้น ที่เขาได้เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย (KPJ) ต่อมาเขาได้รับเลือกเป็นเลขาธิการพรรค (ต่อมาได้เป็นประธานรัฐสภา) ของสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย (ค.ศ. 1939–1980) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ภายหลังจากนาซีได้ส่งกองทัพเข้ารุกรานประเทศ เขาได้เป็นผู้นำขบวนการกองโจรชาวยูโกสลาฟ พลพรรค (ค.ศ. 1941–1945)[18]
ภายหลังสงคราม เขาได้รับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี (ค.ศ. 1944–1963) และประธานาธิบดี(ต่อมาเป็นประธานาธิบดีตลอดชีพ) (ค.ศ. 1953–1980) แห่งสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย(SFRY) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1943 จนถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 1980 ตีโตได้รับยศตำแหน่งเป็นจอมพลแห่งยูโกสลาเวีย ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในกองทัพยูโกสลาเวีย กองทัพประชาชนยูโกสลาเวีย (JNA) ด้วยชื่อเสียงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มประเทศสองฝ่ายในช่วงสงครามเย็น เขาได้รับเครื่องอิสรยาภรณ์จากต่างประเทศ 98 ชิ้น รวมทั้งเครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ และเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งบาธ
ตีโตเป็นหัวหน้าผู้ก่อตั้งประเทศยูโกสลาเวียที่สอง สหพันธ์สังคมนิยม ที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1943 จนถึง เดือนเมษายน ค.ศ. 1992 แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งโคมินฟอร์ม เขากลายเป็นสมาชิกโคมินฟอร์มคนแรกที่ท้าทายอำนาจโซเวียตในปี ค.ศ. 1948 เขาเป็นผู้นำเพียงคนเดียวที่ถอนตัวออกจากโคมินฟอร์มในช่วงสมัยโจเซฟ สตาลิน และเริ่มต้นด้วยโครงการสังคมนิยมในประเทศของเขา ซึ่งมีองค์ประกอบของตลาดสังคมนิยม นักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในอดีตยูโกสลาเวีย รวมทั้ง Jaroslav Vaněk ที่เกิดเป็นชาวเช็ก และ Branko Horvat เกิดเป็นชาวยูโกสลาฟ ได้ส่งเสริมรูปแบบของตลาดสังคมนิยมที่ถูกขนานนามว่ารูปแบบอีลิเลียน สถานประกอบการที่สังคมเป็นเจ้าของโดยลูกจ้างของพวกเขาและโครงสร้างแรงงานที่จัดการด้วยตัวเอง พวกเขาได้เข้าแข่งขันในตลาดเปิดและเสรี
ตีโตได้สร้างลัทธิบูชาบุคคลที่ทรงอำนาจอย่างมากรอบ ๆ ตัวเขา ซึ่งได้รับการทำนุบำรุงโดยสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของเขา
ตีโตพยายามควบคุมความตึงเครียดของกลุ่มชาติพันธุ์โดยมอบหมายอำนาจให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แก่แต่ละสาธารณรัฐ รัฐธรรมนูญยูโกสลาเวีย ปี ค.ศ.1974 กำหนดให้สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียเป็น "สหพันธ์สาธารณรัฐแห่งชาติและเชื้อชาตืที่เสมอภาค โดยอยู่ร่วมกันอย่างอิสระบนหลักการภราดรภาพและเอกภาพในการบรรลุผลประโยชน์ที่เฉพาะเจาะจงและร่วมกัน" แต่ละสาธารณรัฐยังได้รับสิทธิ์ในการตัดสินใจด้วยตนเองและทำการแยกตัวออก ถ้าหากทำผ่านช่องทางกฎหมาย ผลสุดท้าย, โคโซโวและวอยวอดีนา ทั้งสองมณฑลที่มีอำนาจการเลือกตั้งของเซอร์เบียต่างได้รับเอกราชเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมทั้งอำนาจโดยพฤตินัยในรัฐสภาเซอร์เบีย
สิบปีภายหลังจากการถึงแก่อสัญกรรม ลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลายในยุโรปตะวันออกและประเทศยูโกสลาเวียได้เข้าสู่สงครามกลางเมือง