ประเทศเม็กซิโก
ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ / From Wikipedia, the free encyclopedia
สหรัฐเม็กซิโก Estados Unidos Mexicanos (สเปน) | |
---|---|
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | เม็กซิโกซิตี 19°26′N 99°08′W |
ภาษาราชการ |
|
ภาษาพื้นเมือง | ภาษาสเปนและภาษาของชนพื้นเมืองอีก 68 ภาษา[a] |
ภาษาประจำชาติ | สเปน (โดยพฤตินัย)[b] |
กลุ่มชาติพันธุ์ | กลุ่มชาติพันธุ์อเมรินเดียนและต่างชาติ 56 กลุ่ม |
ศาสนา (2020)[1] |
|
การปกครอง | สหพันธ์ ระบบประธานาธิบดี สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ[2] |
อันเดรส มานูเอล โลเปซ โอบราดอร์ | |
• ประธานวุฒิสภา | อานา ลิเลีย ริเบรา |
• ประธานสภาผู้แทนราษฎร | มาร์เซลา เกร์รา กัสติโย |
สภานิติบัญญัติ | สภาคองเกรส |
• สภาสูง | วุฒิสภา |
• สภาล่าง | สภาผู้แทนราษฎร |
เอกราช จากสเปน | |
• ประกาศ | 16 กันยายน ค.ศ. 1810[3] |
• สำเร็จ | 27 กันยายน ค.ศ. 1821 |
• ได้รับการยอมรับ | 28 ธันวาคม ค.ศ. 1836 |
• รัฐธรรมนูญฉบับแรก | 4 ตุลาคม ค.ศ. 1824 |
• รัฐธรรมนูญฉบับที่สอง | 5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1857 |
5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 | |
พื้นที่ | |
• รวม | 1,972,550 ตารางกิโลเมตร (761,610 ตารางไมล์) (อันดับที่ 13) |
1.58 (ใน ค.ศ. 2015)[4] | |
ประชากร | |
• สำมะโนประชากร ค.ศ. 2020 | 126,014,024[1] (อันดับที่ 10) |
61 ต่อตารางกิโลเมตร (158.0 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 142) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | ค.ศ. 2022 (ประมาณ) |
• รวม | 2.92 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[5] (อันดับที่ 13) |
• ต่อหัว | 22,440 ดอลลาร์สหรัฐ[5] (อันดับที่ 69) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | ค.ศ. 2022 (ประมาณ) |
• รวม | 1.42 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[5] (อันดับที่ 15) |
• ต่อหัว | 10,950 ดอลลาร์สหรัฐ[5] (อันดับที่ 71) |
จีนี (ค.ศ. 2018) | 41.8[6] ปานกลาง |
เอชดีไอ (ค.ศ. 2021) | 0.758[7] สูง · อันดับที่ 86 |
สกุลเงิน | เปโซ (MXN) |
เขตเวลา | UTC−8 ถึง −5 (ดู เวลาในประเทศเม็กซิโก) |
UTC−7 ถึง −5 (หลายแบบ) | |
ขับรถด้าน | ขวา |
รหัสโทรศัพท์ | +52 |
โดเมนบนสุด | .mx |
|
เม็กซิโก (อังกฤษ: Mexico; สเปน: México) หรือชื่อทางการคือ สหรัฐเม็กซิโก (อังกฤษ: United Mexican States; สเปน: Estados Unidos Mexicanos) เป็นประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ มีพรมแดนทางทิศเหนือจรดสหรัฐอเมริกา ทิศใต้และทิศตะวันตกจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ทิศตะวันออกเฉียงใต้จรดกัวเตมาลา เบลีซ และทะเลแคริบเบียน ส่วนทิศตะวันออกจรดอ่าวเม็กซิโก[10][11] เนื่องจากครอบคลุมพื้นที่ถึงเกือบ 2 ล้านตารางกิโลเมตร[12] เม็กซิโกจึงเป็นประเทศที่มีพื้นที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 5 ของทวีปอเมริกา และเป็นอันดับที่ 13 ของโลก และยังมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก (126,014,024 คน)[13] เม็กซิโกเป็นประเทศที่มีประชากรพูดภาษาสเปนมากที่สุดในโลก[14][15] และเป็นสหพันธ์ที่ประกอบด้วย 31 รัฐ โดยมีกรุงเม็กซิโกซิตีเป็นเมืองหลวงและมหานครที่ใหญ่ที่สุด[16] เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ กัวดาลาฮารา, มอนเตร์เรย์, ปวยบลา, โตลูกา, ติฆัวนา, ซิวดัดฆัวเรซ และเลออน
เม็กซิโกยุคโบราณมีต้นกำเนิดถึง 8,000 ปีก่อนคริสตกาล และบริเวณนี้ถือเป็นหนึ่งในหกแหล่งกำเนิดของอารยธรรมสำคัญของโลก[17] โดยเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาคมีโซอเมริกาซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของชาวโอลเมก, อารยธรรมมายา, อารยธรรมปูเรเปชา, เตโอตีวากาน และ จักรวรรดิแอซเท็ก ซึ่งครอบครองบริเวณนี้ก่อนการมาถึงของชาวยุโรป ต่อมาใน ค.ศ. 1521 จักรวรรดิสเปนได้พิชิตและตั้งอาณานิคมในภูมิภาคนี้โดยมีฐานที่มั่นในเม็กซิโกซิตี และก่อตั้งเป็นอาณานิคมของสเปน ต่อมา คริสตจักรคาทอลิกได้มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคริสต์และภาษาสเปน[18] แต่ยังคงรักษาวัฒนธรรมพื้นเมืองเอาไว้ ประชากรพื้นเมืองถูกปราบปรามและถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างหนักจากการบังคับใช้แรงงานเพื่อขุดแร่โลหะที่มีค่าจำนวนมาก ซึ่งทำให้สเปนมีสถานะเป็นมหาอำนาจโลกต่อไปอีกสามศตวรรษ[19] เมื่อเวลาผ่านไป เอกลักษณ์เฉพาะของเม็กซิโกได้ก่อตัวขึ้นจากการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมของยุโรปและชนเผ่าพื้นเมือง ต่อมา เม็กซิโกเป็นอิสระจากการปกครองของสเปนภายหลังได้รับชัยชนะในสงครามประกาศเอกราชเม็กซิโก[20]
ประวัติศาสตร์ในยุคแรกของเม็กซิโกในฐานะรัฐชาติเต็มไปด้วยความวุ่นวายทางการเมือง เนื่องจากกลุ่มกบฎได้ก่อการปฏิวัติเท็กซัสและนำไปสู่สงครามเม็กซิโก-อเมริกันในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ทำให้เกิดความสูญเสียอาณาเขตอย่างใหญ่หลวงต่อสหรัฐอเมริกา การปฏิรูปเสรีนิยมได้รับการบันทึกอยู่ในรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1857 ในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการพยายามรวบรวมชนเผ่าพื้นเมืองให้เป็นปึกแผ่นและมีการลดอำนาจของคริสตจักรและกองทัพลง สิ่งนี้ก่อให้เกิดสงครามภายในประเทศและการแทรกแซงของฝรั่งเศส ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมได้ตั้งจักรพรรดิมัคซีมีลีอานที่ 1 แห่งเม็กซิโก เป็นจักรพรรดิต่อต้านการปกครองแบบสาธารณรัฐที่นำโดยเบนิโต ฮัวเรซ ในช่วงทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 ประเทศเม็กซิโกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการของ ปอร์ฟิริโอ ดิอัซ ประธานาธิบดีในขณะนั้น ซึ่งพยายามปรับปรุงเม็กซิโกให้ทันสมัยและฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย ต่อมาได้เกิดสงครามการปฏิวัติเม็กซิโกขึ้น โดยมีจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งมาจากการต่อต้านระบอบของดิอัซ สงครามได้กินเวลายาวนานกว่าทศวรรษ และคร่าชีวิตประชากรไปกว่า 10% และฝ่ายปฏิวัติซึ่งได้รับชัยชนะได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน ค.ศ. 1917 ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้มาจนถึงทุกวันนี้ นายพลของกองทัพคณะปฏิวัติได้ปกครองเม็กซิโกในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีจนกระทั่งเหตุการณ์การลอบสังหาร อัลบาโร โอเบรกอน ใน ค.ศ. 1928 นำไปสู่การก่อตั้งพรรคปฏิวัติ (PRI)[21] [22][23] เม็กซิโกเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองโดยถือฝ่ายสัมพันธมิตร[24][25] พรรคปฏิวัติบริหารประเทศมาต่อเนื่องอีกหลายทศวรรษ ทว่าก็ได้รับเสียงวิจารณ์ในด้านความโปร่งใสและการใช้อำนาจโดยมิชอบ และได้นำนโยบายเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมมาใช้ รวมถึงการทำความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือในทศวรรษ 1990 ก่อนจะแพ้การเลือกตั้งให้แก่พรรคอนุรักษ์นิยม (PAN) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 70 ปี ใน ค.ศ. 2000
เม็กซิโกเป็นประเทศกำลังพัฒนา โดยอยู่ในอันดับที่ 74 ในดัชนีการพัฒนามนุษย์ มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 15 ของโลกตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และเป็นอันดับที่ 11 ตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด[26] จากการที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และมีประชากรมาก ส่งผลให้เม็กซิโกเป็นมหาอำนาจระดับภูมิภาคและระดับกลาง[27][28] และมักถูกระบุว่าเป็นประเทศมหาอำนาจเกิดใหม่[29] รวมทั้งเป็นรัฐอุตสาหกรรมใหม่[30][31][32] อย่างไรก็ตาม ประชากรส่วนใหญ่ยังต้องต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม[33] ความยากจน และปัญหาอาชญากรรม โดยเม็กซิโกอยู่ในอันดับที่ต่ำจากการจัดอันดับประเทศที่มีความปลอดภัยของโลก ปัญหาหลักเกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและองค์กรค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของประชากรมากกว่า 120,000 คน นับตั้งแต่ ค.ศ. 2006[34]
เม็กซิโกอยู่ในอันดับหนึ่งในทวีปอเมริกาและอันดับเจ็ดของโลกในแง่จำนวนมรดกโลกขององค์การยูเนสโก[35][36] นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในสิบเจ็ดประเทศที่มีความหลากหลายทางธรรมชาติของโลกมากที่สุดตั้งแต่ยุคโบราณ และเป็นอันดับที่ 5 ในด้านความหลากหลายทางชีวภาพ และจากการที่มีมรดกทางวัฒนธรรมและสภาพอากาศอันหลากหลาย ส่งผลให้เม็กซิโกเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สำคัญ โดยใน ค.ศ. 2018 เม็กซิโกมีจำนวนนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับที่ 6 ของโลก (39 ล้านคน)[37] เม็กซิโกเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ, กลุ่ม 20, องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา, องค์การการค้าโลก, ฟอรัมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก, องค์การนานารัฐอเมริกา, ประชาคมลาตินอเมริกา กลุ่มแคริบเบียน รวมทั้งองค์การรัฐไอบีโร-อเมริกา