วัณโรค
บทความทางวิทยาศาสตร์ / From Wikipedia, the free encyclopedia
วัณโรค (อังกฤษ: tuberculosis, TB) เป็นโรคติดเชื้อชนิดหนึ่ง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis[1] ทำให้เกิดโรคได้กับหลายๆ อวัยวะ โดยส่วนใหญ่พบที่ปอด[1] ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ เรียกว่าวัณโรคระยะแฝง[1] ผู้ป่วยกลุ่มนี้ 10% จะมีการดำเนินโรคไปจนถึงระยะที่มีอาการ ในจำนวนนี้หากไม่ได้รับการรักษาครึ่งหนึ่งจะเสียชีวิต[1] อาการตามแบบฉบับของวัณโรคปอดระยะแสดงอาการคืออาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด มีไข้ เหงื่อออกกลางคืน และน้ำหนักลด[1] หากผู้ป่วยมีการติดเชื้อที่อวัยวะอื่นก็จะแสดงอาการแตกต่างกันไปตามแต่ละอวัยวะ[8]
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
วัณโรค | |
---|---|
ชื่ออื่น | Tuberculosis, phthisis, phthisis pulmonalis, consumption |
ภาพถ่ายเอกซเรย์ปอดของผู้ป่วยวัณโรคระยะรุนแรง ลูกศรสีขาวชี้บริเวณที่มีการติดเชื้อที่ปอด และลูกศรสีดำชี้บริเวณที่ปอดถูกทำลายจนกลายเป็นโพรง | |
สาขาวิชา | โรคติดเชื้อ, โรคปอด |
อาการ | ไอเรื้อรัง, มีไข้, ไอเป็นเลือด, น้ำหนักลด[1] |
สาเหตุ | เชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis[1] |
ปัจจัยเสี่ยง | การสูบบุหรี่, การติดเชื้อเอชไอวี[1] |
วิธีวินิจฉัย | เอกซเรย์ปอด, เพาะเชื้อ, การตรวจทูเบอร์คูลิน[1] |
โรคอื่นที่คล้ายกัน | ปอดบวม, โรคติดเชื้อราฮีสโตพลาสมา, ซาร์คอยโดซิส, โรคติดเชื้อราค็อกซิดิออยด์[2] |
การป้องกัน | คัดกรองโรคในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง ให้การรักษาผู้ที่ติดเชื้อ ใช้วัคซีน BCG[3][4][5] |
การรักษา | ยาปฏิชีวนะ[1] |
ความชุก | 25% ของประชากร (ระยะแฝง)[6] |
การเสียชีวิต | 1.5 ล้าน (ค.ศ. 2018)[7] |
วัณโรคติดต่อจากคนสู่คนผ่านอากาศ ผู้ป่วยวัณโรคปอดจะแพร่เชื้ออกมากับการไอ จาม ขับเสมหะ หรือการส่งเสียงพูด[1][9] ส่วนผู้ป่วยระยะแฝงจะไม่แพร่เชื้อ[1] การติดเชื้อแบบแสดงอาการจะพบได้บ่อยในผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือผู้ที่สูบบุหรี่[1] การวินิจฉัยทำได้โดยการถ่ายภาพรังสีทรวงอก และการตรวจสารคัดหลั่งโดยการส่องกล้องหรือการเพาะเชื้อ[10] ส่วนการวินิจฉัยวัณโรคระยะแฝงมักทำด้วยการตรวจทูเบอร์คูลินที่ผิวหนังหรือการตรวจเลือด[10]
การป้องกันวัณโรคทำได้โดยการตรวจคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ วินิจฉัยและเริ่มต้นการรักษาให้รวดเร็ว และใช้วัคซีน BCG[3][4][5] ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่คนที่อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน หรือทำงานด้วยกัน หรือสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรคระยะแพร่เชื้อ[4] การรักษาทำได้โดยอาศัยการกินยาปฏิชีวนะหลายชนิดเป็นเวลานานหลายเดือน[1] ปัจจุบันเริ่มมีปัญหาเชื้อวัณโรคดื้อยา ทั้งแบบที่ดื้อยาหลายขนาน (MDR-TB) และดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB)[1]
ข้อมูล ค.ศ. 2018 ระบุว่าประชากรของโลกประมาณหนึ่งในสี่มีการติดเชื้อวัณโรคแบบแฝงแล้ว[6] โดยในแต่ละปีจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 1% ของประชากร[11] ใน ค.ศ. 2018 มีผู้ป่วยวัณโรคระยะแสดงอาการมากกว่า 10 ล้านคน โดยมีผู้เสียชีวิต 1.5 ล้านคน[7] เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่หนึ่งในบรรดาโรคติดเชื้อทั้งหมด[12] ผู้ป่วยวัณโรคส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (44%) แอฟริกา (24%) และกลุ่มประเทศแปซิฟิกตะวันตก (18%) โดยผู้ป่วยกว่า 50% มาจาก 8 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน ไนจีเรีย และบังคลาเทศ[12] ตั้งแต่ ค.ศ. 2000 เป็นต้นมาจำนวนผู้ป่วยรายใหม่เริ่มลดลง[1] 80% ของประชากรในหลายประเทศในเอเชียและแอฟริกาจะตรวจทูเบอร์คูลินได้ผลบวก ส่วนในสหรัฐจะพบผลบวกประมาณ 5–10%[13] เชื้อวัณโรคอยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ[14]
ในประเทศไทย วัณโรคยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยเฉพาะปัญหาวัณโรคดื้อยา ที่ยากต่อการควบคุม จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2561 จึงมีการประกาศให้วัณโรคดื้อยาหลายขนานชนิดรุนแรงมาก (XDR-TB) เป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ลำดับที่ 13[15]