เซอร์แคสเซีย
From Wikipedia, the free encyclopedia
เซอร์แคสเซีย (อังกฤษ: Circassia), เชียร์เคสเซีย (อังกฤษ: Cherkessia), ซีคีอา (กรีก: Ζιχία),[8][9][10] อาเดอฆาฆัก (อะดีเกยาและคาบาร์เดีย: Адыгэ Хэку; แปลว่า บ้านเกิดเซอร์แคสเซีย) หรือ ฆาเกฺวิฌ (อะดีเกยาและคาบาร์เดีย: Хэкужъ; แปลว่า บ้านเกิดโบราณ) เป็นภูมิภาคประวัติศาสตร์ทางด้านเหนือของเทือกเขาคอเคซัส ตั้งอยู่ตลอดแนวชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของทะเลดำ[11][12]
เซอร์แคสเซีย | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
?–ค.ศ. 1864 | |||||||||
ขอบเขตของเซอร์แคสเซีย | |||||||||
เขตการปกครองที่ปรับปรุงใหม่ใน ค.ศ. 1860 ตามกฤษฎีกาฉบับหนึ่งของรัฐสภาแห่งเอกราช | |||||||||
ถิ่นพำนักของผู้นำ (เมืองหลวง) |
| ||||||||
เมืองใหญ่สุด | ชาชา | ||||||||
ภาษาราชการ | ภาษากลุ่มเซอร์แคสเซีย | ||||||||
ภาษาอื่น ๆ | |||||||||
ศาสนา |
| ||||||||
การปกครอง | สหภาพสภาภูมิภาค[1][2] | ||||||||
สภานิติบัญญัติ | Lepq Zefes รัฐสภาแห่งเอกราช (ค.ศ. 1860–1864) | ||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||
• ก่อตั้ง | ? | ||||||||
ค.ศ. 1763–1864 | |||||||||
• สิ้นสุด | ค.ศ. 1864 | ||||||||
พื้นที่ | |||||||||
• รวม | 82,000 ตารางกิโลเมตร (32,000 ตารางไมล์) | ||||||||
ประชากร | |||||||||
• ประมาณ | 1,625,000 คน (ก่อนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเซอร์แคสเซีย) 86,655 คน (หลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเซอร์แคสเซีย)[3][4][5][6][7] | ||||||||
สกุลเงิน | ไม่มีสกุลเงินอย่างเป็นทางการ เหรียญออตโตมันเป็นสกุลเงินโดยพฤตินัย | ||||||||
เซอร์แคสเซียในรัชสมัยของเยอนาลผู้แผ่รัศมี (ราว ค.ศ. 1450) | |||||||||
| |||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | รัสเซีย จอร์เจีย |
ประวัติศาสตร์ยุคแรกเริ่มของชนชาติเซอร์แคสเซียค่อนข้างคลุมเครือ พวกเขาได้รับการกล่าวถึงครั้งแรกเมื่อสหัสวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช[13] แม้ว่าชาวกรีกจะไม่ได้จัดตั้งอาณานิคมภายในดินแดนเซอร์แคสเซีย แต่พวกเขาก็เข้ามาติดต่อทำการค้าและมีอิทธิพลอย่างชัดเจนในแถบชายฝั่งทะเลดำของเซอร์แคสเซีย[14] หลังจากนั้นเซอร์แคสเซียก็ได้รับอิทธิพลหรือตกอยู่ภายใต้การควบคุมของชนชาติอื่น ๆ ซึ่งได้แก่ชาวโรมัน ชาวคาซาร์ ชาวมองโกล ชาวตาตาร์ไครเมีย ชาวเติร์ก และชาวรัสเซีย[14]
ในสมัยกลาง แว่นแคว้นน้อยใหญ่ในเซอร์แคสเซียจะเลือกตั้งเจ้าชายพระองค์หนึ่งขึ้นมาเป็นผู้ปกครองสูงสุดในนาม โดยแว่นแคว้นและเผ่าชนแต่ละแห่งในพื้นที่มีความเป็นอิสระสูง ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ภูมิภาคคอเคซัสถูกจักรวรรดิมองโกลรุกราน จากนั้นก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐข่านไครเมียอยู่นานหลายร้อยปีจนกระทั่งชาวเซอร์แคสเซียลุกขึ้นต่อต้านใน ค.ศ. 1708 ส่วนจักรวรรดิรัสเซียเริ่มสนใจขยายอำนาจเหนือคอเคซัสอย่างจริงจังในสมัยจักรพรรดิปีเตอร์ที่ 1[14] ถึงกระนั้น สนธิสัญญาเบลเกรดซึ่งได้รับการลงนามเมื่อ ค.ศ. 1739 ก็เปิดโอกาสให้ชาวเซอร์แคสเซียตะวันออก (ชาวคาบาร์เดีย) มีอิสระในการปกครองตนเองในระดับหนึ่ง
ก่อนการลงนามในสนธิสัญญาเอเดรียโนเปิลเมื่อ ค.ศ. 1829 แม่น้ำคูบันทำหน้าที่เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างรัสเซียกับเซอร์แคสเซีย อย่างไรก็ตาม ตามสนธิสัญญานี้ จักรวรรดิออตโตมันยอมสละอิทธิพลเหนือภูมิภาคคอเคซัสโดยเปิดทางให้แก่รัสเซีย ชาวเซอร์แคสเซียถือว่าความตกลงดังกล่าวเป็นโมฆะเนื่องจากเห็นว่าจักรวรรดิออตโตมันไม่มีสิทธิ์ยกดินแดนที่ตนเองไม่เคยเป็นเจ้าของให้แก่ใคร[15][16] ในขณะเดียวกันรัสเซียก็ถือว่าพื้นที่นี้เป็นดินแดนรัสเซียที่อยู่ภายใต้การยึดครองของกลุ่มกบฏ ถึงแม้ตนเองจะไม่เคยควบคุมหรือเป็นเจ้าของพื้นที่บริเวณนี้มาก่อนเช่นกัน[17] รัสเซียส่งทหารเข้าปราบปรามและกำจัดกลุ่มชนคอเคซัสที่ต่อต้านการผนวกดินแดน[18] ส่งผลให้ชาวเซอร์แคสเซียประมาณร้อยละ 90 ถูกเนรเทศหรือไม่ก็ถูกสังหารหมู่ระหว่างการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวเซอร์แคสเซีย[19][20][21][22][23]
แม้ว่าเซอร์แคสเซียจะเป็นบ้านเกิดดั้งเดิมของชาวเซอร์แคสเซีย แต่ทุกวันนี้ชาวเซอร์แคสเซียส่วนใหญ่อาศัยอยู่ต่างถิ่นซึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดังกล่าว[24][25][26][27] ในรัสเซีย ชาวเซอร์แคสเซียจำนวนมากอาศัยอยู่ในพื้นที่ราบทางตอนเหนือของเทือกเขาคอเคซัส ในขณะที่บางส่วนอาศัยอยู่บริเวณเชิงเขาและส่วนน้อยอาศัยอยู่บนพื้นที่สูงและภูเขา วิถีชีวิตดั้งเดิมของพวกเขาเกี่ยวข้องกับการทำปศุสัตว์ การทำไร่ และการปลูกไม้ผล[14]