สงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย
From Wikipedia, the free encyclopedia
สงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย (อังกฤษ: War of the Austrian Succession; เยอรมัน: Österreichischer Erbfolgekrieg) เป็นสงครามมหาอำนาจสุดท้ายของราชวงศ์บูร์บง-ฮาพส์บวร์ค โดยเกิดขึ้นจาก ค.ศ. 1740 ถึง 1748 และถือเป็นจุดที่ราชอาณาจักรปรัสเซียเริ่มกลายเป็นมหาอำนาจ[7]
สงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ยุทธการที่ฟองเทนอย โดยPierre L'Enfant สีน้ำมันบนผ้าใบ | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
|
| ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
|
| ||||||||
กำลัง | |||||||||
ค.ศ. 1740: 140,000 นาย 80,000 นาย[1] |
ค.ศ. 1747: 204,000 นาย[2] 120,000 นาย[3] 55,000 นาย[4] | ||||||||
ความสูญเสีย | |||||||||
ฝรั่งเศส ปรัสเซีย: ถูกฆ่าและบาดเจ็บ 3,000 นาย[5] การสูญเสียทางน้ำ: เรือรบแนวเส้นประจัญบาน 17 ลำ, ฟริเกต 7 ลำ, เรือพาณิชย์ 1249 ลำ และปืนใหญ่นาวี 1,276 อัน[2] |
พระมหากษัตริย์ฮาพส์บวร์ค: บริเตนใหญ่: สาธารณรัฐดัตช์: ถูกฆ่าและบาดเจ็บ 7,840 นาย[5] | ||||||||
ทหารเสียชีวิต 450,000 นายและบาดเจ็บ/หายตัวไป 300,000 นาย (ทั้งสองฝั่ง)[6] |
สงครามเริ่มจากการที่เมื่อจักรพรรดิคาร์ลที่ 6 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เสด็จสวรรคตในค.ศ. 1740 พระนางมาเรีย เทเรซา ผู้เป็นพระราชบุตรเพียงองค์เดียวจึงได้สืบบัลลังก์ของฮังการี, โครเอเชีย, โบฮีเมีย, ออสเตรีย และปาร์มา ต่อจากพระราชบิดา ซึ่งขัดกับกฎหมายแซลิกที่ห้ามสตรีครองแว่นแคว้น นอกจากนี้ ด้วยความที่พระนางซึ่งเป็นสตรีไม่สามารถสืบตำแหน่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้ จึงผลักดันให้พระสวามีคือฟรันซ์ สเตฟัน ดยุกแห่งลอแรน ขึ้นเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แทน
การที่สตรีได้ครองแผ่นดินซึ่งขัดกับกฎหมาย ทำให้บรรดามหาอำนาจออกมาเรียกร้องสิทธิในบัลลังก์จักรวรรดิให้แก่เจ้านครที่เป็นบุรุษและเหมาะสมกว่า ประเทศปรัสเซียและประเทศฝรั่งเศสมีความต้องการบั่นทอนอำนาจของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คแห่งออสเตรียเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในขณะที่ประเทศคู่อริของทั้งปรัสเซียและฝรั่งเศสอย่างบริเตนใหญ่และสาธารณรัฐดัตช์ก็คอยสนับสนุนฮาพส์บวร์ค สเปนซึ่งกำลังทำสงครามกับบริเตนใหญ่มาตั้งแต่ปี 1739 จึงถือโอกาสนี้เข้าข้างฝ่ายปรัสเซียและฝรั่งเศสเพื่อหมายจะขจัดอิทธิพลของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเหนือคาบสมุทรสเปนในคราวเดียว เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
การรบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภาคพื้นดิน ในขณะที่ชาติอื่นๆยังคงใช้ทหารรับจ้างมาทำการรบ ประเทศปรัสเซียผ่านการปฏิรูปกองทัพเป็นระบบทหารประจำการแล้ว จึงมีแสนยานุภาพที่เหนือกว่า ประเทศปรัสเซียสามารถมีชัยเหนือราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในสงครามไซลีเซียครั้งที่หนึ่งในปี 1742 ซึ่งทำให้ปรัสเซียได้เข้าครอบครองดินแดนไซลีเซีย ปรัสเซียได้รับชัยชนะอีกครั้งในสงครามไซลีเซียครั้งที่สองในปี 1744 ในขณะที่ฝรั่งเศสก็ทำการโจมตีอาณานิคมต่างๆของบริเตนใหญ่ในทวีปอเมริกาเหนือเป็นสงครามที่เรียกว่าสงครามพระเจ้าจอร์จ
สงครามครั้งนี้จบลงด้วยสนธิสัญญาแอกซ์-ลา-ชาแปลในปี 1748 พระนางมาเรีย เทราซา สูญเสียดินแดนไซลีเซียให้แก่ปรัสเซีย และเสียแคว้นปาร์มาและปีอาเชนซาให้แก่สเปน แลกกับการยอมรับพระนางเป็นอาร์ชดัชเชสแห่งออสเตรียและกษัตริย์แห่งโบฮีเมีย ส่วนฝรั่งเศสไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก ความสงบสุขอยู่ได้ไม่นานนัก ความอยากได้ดินแดนไซลีเซียคืนมาของออสเตรียทำให้เกิดการเปลี่ยนดุลอำนาจครั้งใหญ่ในยุโรปเมื่อปี 1756 ซึ่งนำไปสู่สงครามครั้งใหญ่กว่าอย่างสงครามเจ็ดปี