ลาบลังกา
From Wikipedia, the free encyclopedia
ลาบลังกา (สเปน: La Blanca) เป็นแหล่งโบราณคดีอารยธรรมมายาสมัยก่อนโคลัมบัส ตั้งอยู่บริเวณตอนล่างของหุบเขาแม่น้ำโมปันในเขตเทศบาลเมลชอร์เดเมงโกส ทางตอนเหนือของจังหวัดเปเตน ประเทศกัวเตมาลา[1] แหล่งนี้เป็นของวัฒนธรรมโมกายาช่วงปลาย ปรากฏหลักฐานว่ามีการเข้าอยู่อาศัยที่แหล่งนี้ตั้งแต่สมัยก่อนคลาสสิกตอนกลาง (900–600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ตามลำดับเวลามีโซอเมริกา กิจกรรมของมนุษย์มีอายุย้อนไปได้ถึงสมัยคลาสสิกตอนต้น (ค.ศ. 250–600) โดยการตั้งถิ่นฐานสำคัญเกิดขึ้นในสมัยคลาสสิกตอนปลาย (ค.ศ. 600–900)[2] แต่ก็ยังมีการตั้งถิ่นฐานเพิ่มขึ้นประปรายในสมัยหลังคลาสสิกตอนต้น (ค.ศ. 900–1200)[3]
กลุ่มสิ่งก่อสร้างทางทิศใต้ | |
ที่ตั้ง | เมลชอร์เดเมงโกส จังหวัดเปเตน กัวเตมาลา |
---|---|
พิกัด | 16°54′13″N 89°26′32″W |
ความเป็นมา | |
สมัย | สมัยคลาสสิกตอนปลายถึงสมัยหลังคลาสสิกตอนต้น |
วัฒนธรรม | มายา |
หมายเหตุเกี่ยวกับสถานที่ | |
ผู้ขุดค้น | กริสตินา บิดัล โลเรนโซ, กัสปาร์ มุญโญซ โกสเม |
สถาปัตยกรรม | |
รูปแบบสถาปัตยกรรม | มายาสมัยคลาสสิก |
หน่วยงานรับผิดชอบ: สถาบันมานุษยวิทยาและประวัติศาสตร์ |
ลาบลังกาครอบครองพื้นที่ชายแดนระหว่างภูมิภาคเปเตนตะวันออกเฉียงเหนือกับภูมิภาคเปเตนตะวันออกเฉียงใต้ และแหล่งดังกล่าวถูกควบคุมจากอัครปุระโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหมู่อาคารพระราชวังที่ได้รับการสร้างขึ้นอย่างดีเป็นพิเศษ[4] ดูเหมือนว่าเมืองนี้จะเป็นศูนย์กลางการปกครองโดยไม่เน้นกิจกรรมทางศาสนาหรือพิธีกรรมมากนัก[5] ลาบลังกาอาจเป็นเมืองบริวารของนครมายาหลักอย่างยัฆฮาหรือนารังโฮ เนื่องจากในเมืองไม่มีข้อความรูปอักขระโบราณและประติมากรรมเชิงอนุสาวรีย์อยู่เลย[5] และนักโบราณคดีสันนิษฐานว่าลาบลังกาทำหน้าที่เป็นด่านพรมแดนหรือศูนย์กลางการค้าแห่งหนึ่ง[5]
ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงอัครปุระได้มากขึ้นในสมัยคลาสสิกตอนปลาย แต่เมื่อภัยคุกคามจากสงครามเพิ่มขึ้นในสมัยคลาสสิกตอนสุดท้าย (ค.ศ. 800–900) การเข้าถึงจึงถูกจำกัดอีก การยุติการตั้งถิ่นฐานอย่างเป็นทางการในสมัยคลาสสิกตอนสุดท้ายน่าจะเป็นไปด้วยความรุนแรง โดยระหว่างการขุดค้นทางโบราณคดีที่อัครปุระพบหลักฐานบ่งชี้ว่าเกิดการสู้รบขึ้น[6] ดูเหมือนว่าจะมีผู้ลี้ภัยจากพื้นที่รอบนอกเข้าไปครอบครองศูนย์กลางเมืองทันทีหลังการตั้งถิ่นฐานอย่างเป็นทางการได้สิ้นสุดลง[7] แต่พวกเขาก็ทิ้งเมืองนี้ไปอย่างถาวรในคริสต์ศตวรรษที่ 11 และหลังจากนั้นก็ไม่มีการกลับเข้าไปตั้งถิ่นฐานที่นี่อีกเลย[5]
ตามอาคารที่อัครปุระปรากฏรอยขูดขีดเขียนที่มีอายุอยู่ในระยะสุดท้ายของการตั้งถิ่นฐานสมัยหลังคลาสสิกตอนต้น ประกอบด้วยรูปคนและสัตว์ เทพเจ้า วิหาร และฉากในราชสำนัก ยังปรากฏรอยขูดขีดเขียนในสมัยอาณานิคมจากการไปเยือนซากเมืองแห่งนี้ของร้อยเอก เปโดร มอนตัญเญส เจ้าหน้าที่สเปนในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1752[8]