ผู่อี๋
จักรพรรดิจีนราชวงศ์ชิงพระองค์สุดท้าย และอดีตจักรพรรดิแมนจู / From Wikipedia, the free encyclopedia
ผู่อี๋[lower-alpha 3] (7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1906 – 17 ตุลาคม ค.ศ. 1967) เป็นจักรพรรดิพระองค์สุดท้ายของจีน ครองราชย์เป็นจักรพรรดิพระองค์ที่ 11 และพระองค์สุดท้ายของราชวงศ์ชิง พระองค์ครองราชย์เมื่อมีพระชนมพรรษาเพียง 2 พรรษาใน ค.ศ. 1908 จนกระทั่งถูกบังคับให้สละราชสมบัติเมื่อพระชนมพรรษา 6 พรรษาใน ค.ศ. 1912 เนื่องจากการปฏิวัติซินไฮ่ ภายใต้การครองราชย์ในรัชสมัยแรกทรงมีพระปรมาภิไธยว่า จักรพรรดิเซฺวียนถ่ง (จีน: 宣統帝) อันเป็นชื่อรัชศกที่หมายถึง "การประกาศความเป็นหนึ่งเดียว"
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ เพราะใช้โปรแกรมแปลมา คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
ผู่อี๋ 溥儀 | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
พระบรมฉายาลักษณ์จักรพรรดิผู่อี๋ ป. ทศวรรษ 1930–1940 | |||||||||||||||||||||
จักรพรรดิต้าชิง | |||||||||||||||||||||
รัชสมัยที่หนึ่ง | 2 ธันวาคม ค.ศ. 1908 – 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1912 | ||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | จักรพรรดิกวังซฺวี่ | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | ล้มเลิกราชาธิปไตย | ||||||||||||||||||||
ผู้สำเร็จราชการ |
| ||||||||||||||||||||
อัครมหาเสนาบดี |
| ||||||||||||||||||||
รัชสมัยที่สอง | 1 – 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1917[lower-alpha 1] | ||||||||||||||||||||
อัครมหาเสนาบดี | จาง ซวิน | ||||||||||||||||||||
จักรพรรดิแมนจู | |||||||||||||||||||||
ครองราชย์ | 1 มีนาคม ค.ศ. 1934 – 17 สิงหาคม ค.ศ. 1945 | ||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | ตัวเอง ในฐานะผู้บริหารสูงสุด | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | ยกเลิกตำแหน่ง | ||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรี |
| ||||||||||||||||||||
ผู้บริหารสูงสุดแห่งแมนจู | |||||||||||||||||||||
ในตำแหน่ง | 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1932 – 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1934 | ||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง | ||||||||||||||||||||
ถัดไป | ตัวเอง ในฐานะจักรพรรดิ | ||||||||||||||||||||
นายกรัฐมนตรี | เจิ้ง เสี้ยวซฺวี | ||||||||||||||||||||
ประสูติ | 07 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1906(1906-02-07) ตำหนักฉุนชินหวัง กรุงปักกิ่ง จักรวรรดิชิง | ||||||||||||||||||||
สวรรคต | 17 ตุลาคม ค.ศ. 1967(1967-10-17) (61 ปี) โรงพยาบาลวิทยาลัยสหการแพทย์ปักกิ่ง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน | ||||||||||||||||||||
ฝังพระศพ | สุสานปฏิวัติปาเป่าชาน ต่อมานำอัฐิไปฝัง ณ สุสานราชวงศ์ฮว่าหลง มณฑลเหอเป่ย์ | ||||||||||||||||||||
มเหสี |
| ||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
ราชวงศ์ | อ้ายซินเจว๋หลัว | ||||||||||||||||||||
ราชวงศ์ | |||||||||||||||||||||
พระราชบิดา | ฉุนชินหวังไจ้เฟิง | ||||||||||||||||||||
พระราชมารดา | กัวเอ่อเจีย โย่วหลัน (สืบสายโลหิต) จักรพรรดินีเสี้ยวติ้งจิ่ง (มารดาบุญธรรม) Wang Lianshou (มารดาบุญธรรม) | ||||||||||||||||||||
ตราประทับ[lower-alpha 2] | |||||||||||||||||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 溥儀 | ||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 溥仪 | ||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
จักรพรรดิเซฺวียนถ่ง | |||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 宣統帝 | ||||||||||||||||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 宣统帝 | ||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||
ผู่อี๋กลับขึ้นสู่ราชสมบัติต้าชิงอีกครั้งจากความช่วยเหลือของนายพลจาง ซวิน ในระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึงวันที่ 12 กรกฎาคม ค.ศ. 1917 พระองค์อภิเษกสมรสแบบคลุมถุงชนกับจักรพรรดินีวั่นหรงใน ค.ศ. 1922 ต่อมาเมื่อ ค.ศ. 1924 พระองค์ทรงถูกเนรเทศออกจากพระราชวังต้องห้ามและหนีหลบภัยไปที่เทียนจิน ณ ช่วงเวลานี้ อดีตจักรพรรดิเริ่มเข้าประจบทั้งขุนศึกที่กำลังต่อสู้กันเพื่อควบคุมสาธารณรัฐจีน กับญี่ปุ่นซึ่งปรารถนาทีทจะครอบครองจีนมาอย่างช้านาน เมื่อญี่ปุ่นเข้าบุกครองแมนจูเรียใน ค.ศ. 1932 ผู่อี๋จึงได้รับเลือกให้เป็นผู้บริหารสูงสุดของรัฐหุ่นเชิดแมนจูกัวที่ก่อตั้งโดยญี่ปุ่น โดยใช้ชื่อรัชศกว่า "ต้าถง"
ต่อมาผู่อี๋ได้ประกาศตนเป็นจักรพรรดิแมนจูใน ค.ศ. 1934 โดยนักเขียน เวิน ยฺเหวียนหนิง ได้กล่าวเสียดสีผู่อี๋ว่า "เป็นผู้ถือสถิติโลกสำหรับจำนวนครั้งที่มนุษย์คนหนึ่งจะสามารถขึ้นครองราชย์และสละราชสมบัติได้"[1] ผู่อี๋มีอำนาจปกครองแต่ในนามภายใต้ชื่อรัชศก "คังเต๋อ" จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สองใน ค.ศ. 1945 โดยในรัชสมัยที่สามนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นจักรพรรดิหุ่นเชิดของญี่ปุ่น เนื่องจากพระองค์มีบทบาทเพียงลงนามในกฤษฎีกาที่ญี่ปุ่นมอบให้เท่านั้น ผู่อี๋ทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการประทับอยู่ ณ พระราชวังภาษีเกลือ ที่ซึ่งพระองค์ทรงสั่งข่มเหงข้าราชบริพารอยู่เป็นประจำ พระองค์เริ่มเหินห่างจากจักรพรรดินีวั่นหรงมากขึ้น เนื่องจากการเสพติดฝิ่นของพระมเหสีในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา จึงทำให้มีการรับนางสนมเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับคู่รักชาย ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนต่อสงครามใน ค.ศ. 1945 ผู่อี๋จึงลี้ภัยออกจากเมืองหลวง แต่สุดท้ายก็ถูกกองทัพโซเวียตที่เข้ายึดครองประเทศจับกุมตัวไว้ ผู่อี๋ได้รับการส่งตัวผู้ให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนใน ค.ศ. 1950 ซึ่งหลังจากการจับกุม ผู่อี๋ก็มิได้พบเห็นจักรพรรดินีวั่นหรงอีกเลย เนื่องจากพระองค์ถึงแก่กรรมด้วยความอดอยากในเรือนจําจีนเมื่อ ค.ศ. 1946
ผู่อี๋เป็นจำเลยในการพิจารณาคดีโตเกียว และต่อมาถูกคุมขังและได้รับการศึกษาใหม่ในฐานะอาชญากรสงครามเป็นเวลา 10 ปี โดยหลังจากการปล่อยตัวใน ค.ศ. 1959 ผู่อี๋ได้ประพันธ์บันทึกความทรงจำ (จากความช่วยเหลือของนักเขียนผี) และเข้าเป็นสมาชิกกิตติมาศักดิ์ประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีนและสภาประชาชนแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงเวลาที่อยู่ในเรือนจำได้เปลี่ยนแปลงความคิดของผู่อี๋เป็นอย่างมาก ซึ่งพระองค์ทรงแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งสําหรับการกระทําขณะเป็นจักรพรรดิ ผู่อี๋เสด็จสวรรคตเยี่ยงสามัญชนใน ค.ศ. 1967 และอัฐิของพระองค์ได้รับการฝังไว้ในสุสานเชิงพาณิชย์ใกล้กับสุสานหลวงตะวันตกแห่งราชวงศ์ชิง