ซูสีไทเฮา
จักรพรรดินีจีน (ค.ศ. 1835-1908) / From Wikipedia, the free encyclopedia
ซูสีไทเฮา ตามภาษาจีนฮกเกี้ยน หรือ ฉือสี่ไท่โฮ่ว ตามภาษาจีนมาตรฐาน (จีน: 慈禧太后; พินอิน: Cíxǐ Tàihòu; 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1835 – 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1908) เป็นสตรีชาวแมนจูช่วงราชวงศ์ชิง (清朝) ของจักรวรรดิจีน จากสกุลเย่เฮ่อน่าลา (葉赫那拉氏) แห่งกองธงเหลืองมีขอบ (鑲黃旗) ในแปดกองธง (八旗) ได้เป็นกุ้ยเฟย ในจักรพรรดิเสียนเฟิง (咸豐帝) และได้เป็นสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง หรือ หวงไท่โฮ่ว (皇太后) และสมเด็จพระบรมราชอัยยิกาเจ้า หรือ ไท่หวงไท่โฮ่ว (太皇太后) ในฐานะพระมารดาของจักรพรรดิถงจื้อ (同治帝) และพระมารดาบุญธรรมของจักรพรรดิกวังซฺวี่ (光緒帝) ทั้งได้สำเร็จราชการแทนจักรพรรดิทั้งสอง จึงปกครองประเทศโดยพฤตินัยเป็นเวลา 47 ปีตั้งแต่ ค.ศ. 1861 จนสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1908
ซูสีไทเฮา(ฮกเกี้ยน) ฉือสี่ไท่โฮ่ว (มาตรฐาน) | |||||
---|---|---|---|---|---|
สมเด็จพระพันปีหลวงแห่งต้าชิง | |||||
ไท่หวงไท่โฮ่ว (太皇太后) สมเด็จพระบรมราชอัยยิกาเจ้า | |||||
ระยะเวลา | ค.ศ. 1908 | ||||
ก่อนหน้า | จาวเซิ่งไท่หวงไท่โฮ่ว (昭圣太皇太后) | ||||
ถัดไป | – (ยุบจักรวรรดิ) | ||||
หวงไท่โฮ่ว (圣母皇太后) สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง | |||||
ระยะเวลา | 22 สิงหาคม ค.ศ. 1861 – 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1908 (47 ปี 85 วัน) | ||||
ก่อนหน้า | ฉืออันไท่โฮ่ว (慈安皇太后) | ||||
ถัดไป | หลงยฺวี่ไทเฮา (隆裕太后) | ||||
พระราชสมภพ | รัชศกเต้ากวัง (道光) ปีที่ 15 เดือน 10 วันที่ 10 ตรงกับ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1835(1835-11-29) เป่ย์จิง (北京), จักรวรรดิชิง เย่เฮ่อน่าลา ซิ่งเจิน (葉赫那拉 杏貞) | ||||
สวรรคต | รัชศกกวังซฺวี่ (光緒) ปีที่ 34 เดือน 10 วันที่ 22 ตรงกับ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 1908(1908-11-15) (72 ปี) ตำหนักอี๋-ลฺหวัน (仪鸾殿), พระที่นั่งจงหนานไห่ (中南海), เป่ย์จิง, จักรวรรดิชิง | ||||
คู่อภิเษก | จักรพรรดิเสียนเฟิง (咸豐帝) | ||||
พระราชบุตร | จักรพรรดิถงจื้อ (同治帝) | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | โดยกำเนิด: เย่เฮ่อน่าลา (葉赫那拉) โดยสมรส: อ้ายซินเจว๋หลัว (愛新覺羅) | ||||
พระราชบิดา | ฮุ่ยเจิง (惠徵) | ||||
พระราชมารดา | นางฟู่ฉา (富察氏) |
ในวัยเยาว์ พระนางได้รับเลือกเป็นพระชายาของจักรพรรดิเสียนเฟิง และให้กำเนิดพระโอรส คือ ไจ้ฉุน (載淳) ใน ค.ศ. 1856 ต่อมาใน ค.ศ. 1861 จักรพรรดิเสียนเฟิงสวรรคต ไจ้ฉุนซึ่งยังเล็กได้เสวยราชย์เป็นจักรพรรดิถงจื้อ พระนางยึดอำนาจรัฐจากองคมนตรี แล้วขึ้นสำเร็จราชการแทนจักรพรรดิพระองค์น้อยพร้อมด้วยซูอันไทเฮา (慈禧太后) พระอัครมเหสีของจักรพรรดิเสียนเฟิง ครั้นจักรพรรดิถงจื้อสวรรคตใน ค.ศ. 1875 พระนางก็ยกไจ้เถียน (載湉) หลานของพระนางเอง ขึ้นสืบราชสมบัติต่อเป็นจักรพรรดิกวังซฺวี่ โดยมีพระนางสำเร็จราชการแทนต่อไป ซึ่งขัดต่อกฎการสืบราชบัลลังก์ของราชวงศ์
แม้พระนางจะไม่ยอมรับรูปแบบการปกครองแบบตะวันตก แต่พระนางก็สนับสนุนการปฏิรูปทางทหารและทางวิทยาการ รวมถึงขบวนการสร้างตนให้แกร่ง (自強運動) พระนางยังเห็นชอบกับหลักการปฏิรูปร้อยวัน (百日維新) เมื่อ ค.ศ. 1898 แต่ก็เกรงว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันโดยปราศจากความสนับสนุนของข้าราชการนั้นจะนำมาซึ่งความโกลาหล ทั้งจะเป็นโอกาสให้มหาอำนาจญี่ปุ่นและชาติอื่น ๆ เข้าแทรกแซง เมื่อจักรพรรดิกวังซฺวี่สนับสนุนนักปฏิรูปหัวรุนแรง และพระนางเชื่อว่า จักรพรรดิพยายามจะลอบสังหารพระนาง พระนางจึงจับจักรพรรดิไปขังไว้ ณ ตำหนักหาน-ยฺเหวียน (涵元殿) บนเกาะอิ๋งไถ (瀛台) กลางสระน้ำในพระที่นั่งจงหนานไห่ (中南海) และให้ประหารนักปฏิรูปหัวรุนแรง ภายหลัง กบฏนักมวย (庚子拳亂) เป็นชนวนให้มหาอำนาจต่างชาติในนาม "พันธมิตรแปดชาติ" (八國聯軍) เข้ารุกรานประเทศ พระนางสนับสนุนให้กบฏนักมวยออกเข่นฆ่าต่างชาติ และประกาศสงครามกับผู้รุกราน แต่เมื่อพ่ายแพ้ พระนางจึงหันมาเป็นมิตรกับชาวต่างชาติ และเริ่มนโยบายที่เรียก "การปกครองแบบใหม่" (新政) เพื่อนำประเทศไปสู่ระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ทว่า ใน ค.ศ. 1908 พระนางสวรรคตก่อนการปฏิรูปจะเป็นผล ราชสำนักตกอยู่ในเงื้อมมือของกลุ่มอนุรักษนิยม โดยมีผู่อี๋ (溥儀) จักรพรรดิเด็ก อยู่บนบัลลังก์ ทั้งประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองไม่หยุดหย่อน นำไปสู่การสิ้นสุดของระบอบกษัตริย์ราชวงศ์ชิงเมื่อประเทศกลายเป็นสาธารณรัฐใน ค.ศ. 1912
ชื่อเสียงของพระนางเป็นประเด็นถกเถียงของนักประวัติศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศจีนมาเสมอ มุมมองที่มีมายาวนานเห็นว่า พระนางเป็นผู้ปกครองที่อำมหิต บ้าอำนาจ ทำให้ราชวงศ์ชิงล่มสลาย แต่มุมมองสมัยใหม่เห็นว่า การที่พระนางถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุให้ราชวงศ์ชิงสูญสิ้นนั้นเป็นผลงานของฝ่ายปฏิรูปและฝ่ายปฏิวัติที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระนาง เป็นการกล่าวโทษพระนางในปัญหาที่เรื้อรั้งมายาวนานก่อนยุคสมัยของพระนาง ซึ่งไม่อยู่ในความควบคุมของพระนาง พระนางยังปกป้องประเทศจากความวุ่นวายทางการเมือง และมิได้โหดร้ายทารุณมากไปกว่าผู้ปกครองคนอื่น ๆ ในช่วงเวลาของพระนาง นอกจากนี้ พระนางยังเป็นนักปฏิรูปที่มีประสิทธิภาพสำหรับการปฏิรูปที่ทรงริเริ่มในช่วงบั้นปลายพระชนม์[1]