การปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1848
From Wikipedia, the free encyclopedia
การปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1848[lower-alpha 1] เป็นหนึ่งในบรรดาการปฏิวัติที่เกิดขึ้นในยุโรปเมื่อ ค.ศ. 1848 ซึ่งมีความเกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับเหตุการณ์ปฏิวัติ ค.ศ. 1848 ในพื้นที่ฮาพส์บวร์คอื่น ๆ แม้ว่าผลลัพธ์ของเหตุการณ์จะล้มเหลว แต่การปฏิวัติครั้งนี้นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ฮังการีสมัยใหม่ และยังได้สร้างรากฐานของเอกลักษณ์ประจำชาติฮังการีสมัยใหม่ด้วย โดยในวันที่ 15 มีนาคม ของทุกปี ได้รับการกำหนดเป็นวันหยุดประจำชาติของประเทศ เนื่องในโอกาสครบรอบการปฏิวัติ
การปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1848 | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ การปฏิวัติ ค.ศ. 1848 | |||||||
ซานโดร์ แปเตอฟี ขับร้องเพลงชาติท่ามกลางฝูงชนเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1848 วาดโดยมิฮาย ซิตชี | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
|
ราชอาณาจักรฮังการี รัฐฮังการี
| ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
|
| ||||||
กำลัง | |||||||
170,000 นาย จากจักรวรรดิออสเตรีย และ 200,000 นาย จากจักรวรรดิรัสเซีย[2] | ช่วงต้น ค.ศ. 1849: 170,000 นาย[3] |
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1848 ฮังการีเป็นประเทศลำดับที่สามในยุโรปภาคพื้นทวีป (หลังจากฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1791 และเบลเยียมใน ค.ศ. 1831) ที่ตรากฎหมายการเลือกตั้งรัฐสภาแบบประชาธิปไตย โดยกฎหมายสิทธิออกเสียงเลือกตั้งฉบับใหม่ (มาตรา 5 ค.ศ. 1848) ได้เปลี่ยนระบบรัฐสภาศักดินาแบบเก่าเป็นระบบรัฐสภาผู้แทนประชาธิปไตย ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ให้สิทธิการลงคะแนนเสียงอย่างกว้างขวางที่สุดในยุโรปเวลานั้น[4] อีกทั้งกฎหมายเดือนเมษายนยังได้ลบล้างอภิสิทธิ์ทั้งหมดของขุนนางฮังการีไปอย่างสิ้นเชิง[5]
จุดเปลี่ยนสำคัญของเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 แห่งออสเตรียพระองค์ใหม่ทรงเพิกถอนกฎหมายเดือนเมษายน (ให้สัตยาบันโดยจักพรรดิแฟร์ดีนันท์ที่ 1) โดยพลการ ซึ่งพระองค์ปราศจากพระราชอำนาจตามกฎหมายที่ทรงกระทำเช่นนั้น กระกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญทำให้ความขัดแย้งระหว่างพระองค์กับรัฐสภาฮังการีทวีความรุนแรงขึ้นอย่างไม่อาจกลับคืน จากการประกาศรัฐธรรมนูญเดือนมีนาคมที่บีบบังคับฉบับใหม่ของออสเตรีย การระงับกฎหมายเดือนเมษายน และการส่งทหารเข้าปะทะกับราชอาณาจักรฮังการี เป็นเหตุให้รัฐบาลสันตินิยมของลอโยช บ็อจจาญีสิ้นสุดลง และผู้สนับสนุนลอโยช โกชุต (ซึ่งต้องการความเป็นเอกราชโดยสมบูรณ์ของฮังการี) ได้รับอำนาจในรัฐสภาอย่างกะทันหัน การแทรกแซงทางทหารของออสเตรียในราชอาณาจักรฮังการีส่งผลให้เกิดความรู้สึกต่อต้านราชวงศ์ฮาพส์บวร์คอย่างแข็งขันในหมู่ชาวฮังการี และสถานการณ์ภายในฮังการีกลับกลายเป็นสงครามเพื่อเอกราชโดยสมบูรณ์จากจักรวรรดิออสเตรีย ประมาณ 40% ของพลทหารในกองทัพอาสาสมัครฮังการีประกอบด้วยชนกลุ่มน้อยในประเทศ[6] เมื่อพิจารณาจากเสนาธิการทหารฮังการีแล้ว ประมาณครึ่งหนึ่งของนายทหารและนายพลของกองทัพโฮนเวดฮังการี (ฮังการี: Magyar Királyi Honvédség) ล้วนเป็นชาวต่างชาติ ส่วนนายทหารชำนาญการที่มีชาติพันธุ์ฮังการีในกองทัพหลวงฮาพส์บวร์คมีจำนวนมากเทียบเท่ากับกองทัพปฏิวัติฮังการี[7]
ในด้านการทูตและนโยบายระหว่างประเทศในระหว่างการปฏิวัติ ฝ่ายเสรีนิยมฮังการี (เช่นเดียวกันกับฝ่ายปฏิวัติเสรีนิยมในยุโรปอื่น ๆ เมื่อ ค.ศ. 1848) ได้รับแรงบันดาลใจหลักมาจากการพิจารณาถึงอุดมการณ์ โดยพวกเขาสนับสนุนประเทศและกองกำลังที่สอดคล้องกับมาตรฐานทางศีลธรรมและการเมืองใหม่ของพวกเขา อีกทั้งพวกเขายังเชื่อว่ารัฐบาลและขบวนการทางการเมืองที่ยึดหลักเสรีนิยมสมัยใหม่เหมือนกันควรสร้างพันธมิตรต่อต้าน "ระบบเจ้าขุนมูลนาย" ของระบอบราชาธิปไตย ซึ่งมุมมองในลักษณะนี้มีความคล้ายคลึงกับลัทธิอยู่ร่วมกันระหว่างประเทศแบบเสรีนิยม (liberal internationalism) สมัยใหม่[8]
หลังจากความพ่ายแพ้อย่างร้ายแรงของออสเตรียอยู่หลายครั้งใน ค.ศ. 1849 จักรวรรดิออสเตรียเข้าใกล้ขอบเขตของการล่มสลาย จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 พระองค์ใหม่จึงทรงขอความช่วยเหลือจากรัสเซียในนามของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์[9] จักรพรรดินีโคไลที่ 1 พระราชทานกำลังทหารอันแข็งแกร่ง 200,000 นาย พร้อมด้วยกองกำลังเสริม 80,000 นาย ซึ่งท้ายที่สุดกองทัพรัสเซีย-ออสเตรียสามารถพิชิตกองกำลังของฮังการีได้สำเร็จ ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คกลับมามีอำนาจอีกครั้ง และมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในฮังการี[10]